วันพุธที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2556

tense

Tense
Tense   คือรูปแบบ(หรือโครงสร้าง)ของกริยา  ที่แสดงให้เราทราบว่า  การกระทำหรือเหตุการ นั้นๆเกิดขึ้นเมื่อใด   ซึ่งเรื่อง  tense  นี้เป็นเรื่องสำคัญ  ถ้าเราใช้    tense  ไม่ถูก  เราก็จะสื่อภาษากับเขา ไม่ได้  เพราะในประโยคภาษาอังกฤษนั้นจะอยู่ในรูปของ  tense  เสมอ  ซึ่งต่างกับภาษาไทยที่เราจะมีข้อความบอกว่าาเกิดขึ้นเมื่อใดมาช่วยเสมอ   แต่ภาษาอังกฤษจะใช้รูป  tense  นี้มาเป็นตัวบอก  ดังนี้การศึกษาเรื่อง  tense  จึงเป็นเรื่องจำ เป็น.
Tense  ในภาษาอังกฤษนี้จะแบ่ง ออกเป็น  3  tense  ใหญ่ๆคือ
               1.     Present   tense        ปัจจุบัน
               2.     Past   tense              อดีตกาล
               3.     Future   tense          อนาคตกาล
ในแต่ละ  tense ยังแยกย่อยได้  tense  ละ  4  คือ
              1 .   Simple   tense    ธรรมดา(ง่ายๆตรงๆไม่ซับซ้อน).
              2.    Continuous  tense    กำลังกระทำอยู่(กำลังเกิดอยู่)
              3.     Perfect  tense     สมบูรณ์(ทำเรียบร้อยแล้ว).
              4.     Perfect  continuous  tense  สมบูรณ์กำลังกระทำ(ทำเรียบร้อยแล้วและกำลัง ดำเนินอยู่ด้วย).


โครงสร้างของ  Tense  ทั้ง  12  มีดังนี้
Present  Tense
                      [1.1]   S  +  Verb  1  +  ……(บอกความจริงที่เกิดขึ้นง่ายๆ ตรงๆไม่ซับซ้อน).
[Present]       [1.2]   S  +  is, am, are  +  Verb  1  ing   +  …(บอกว่าเดี๋ยวนี้กำลังเกิดอะไร อยู่).
                      [1.3]   S  +  has, have  +  Verb  3 +  ….(บอกว่าได้ทำมาแล้วจนถึง ปัจจุบัน).
                      [1.4]   S  +  has, have  +  been  +  Verb 1 ing  + …(บอกว่าได้ทำมาแล้วและกำลังทำ ต่อไปอีก).
Past Tense
                      [2.1]  S  +  Verb 2  +  …..(บอกเรื่องที่เคยเกิดมาแล้วใน อดีต).
[Past]            [2.2]  S  +  was, were  +  Verb 1  +…(บอกเรื่องที่กำลังทำอยู่ในอดีต).
                      [2.3]  S  +  had  +  verb 3  +  …(บอกเรื่อที่ทำมาแล้วในอดีตใน ช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง).
                      [2.4]  S  +  had  +  been  +  verb 1 ing  + …(บอกเรื่องที่ทำมาแล้วอย่างต่อ เนื่องไม่หยุด).
Future Tense
                      [3.1]  S  +  will, shall  +  verb 1  +….(บอก เรื่องที่จะเกิดขึ้นในอนาคต).
[Feature]        [3.2]  S  +  will, shall  +  be  +  Verb 1 ing  + ….(บอกว่าอนาคตนั้นๆกำลังทำอะไร อยู่).
                      [3.3]  S  +  will,s hall  +  have  +  Verb 3  +…(บอกเรื่องที่จะเกิดหรือสำเร็จ ในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง).
                      [3.4]  S  +  will,shall  +  have  +  been  + verb 1 ing  +.. ..(บอกเรื่องที่จะทำอย่างต่อเนื่องในเวลาใด -  เวลาหนึ่งในอนาคตและ จะทำต่อไปเรื่อยข้างหน้า).  
                
หลักการใช้แต่ละ  tense  มีดังนี้
              [1.1]   Present  simple  tense    เช่น    He  walks.   เขาเดิน,
1.    ใช้กับ เหตุการที่เกิดขึ้นตามความจริงของธรรมชาติ และคำสุภาษิตคำ พังเพย. 
2.    ใช้กับเหตุการณ์ที่เป็นความจริงในขณะที่พูด  (ก่อนหรือหลังจะไม่จริงก็ตาม).
3.    ใช้กับกริยาที่ทำนานไม่ได้   เช่น  รัก,  เข้าใจ, รู้  เป็นต้น.
4.    ใช้กับการกระทำที่คิดว่าจะเกหิดขึ้นในอนาคตอันใกล้(จะมีคำวิเศษณ์บอกอนาคตร่วมด้วย).
5.    ใช้ในการเล่าสรุปเรื่องต่างๆในอดีต  เช่นนิยาย นิทาน.
6.    ใช้ในประโยคเงื่อนไขในอนาคต    ที่ต้นประโยคจะขึ้นต้น ด้วยคำว่า    If    (ถ้า),       unless   (เว้นเสียแต่ว่า),    as  soon  as  (เมื่อ,ขณะที่),    till  (จนกระทั่ง) ,   whenever   (เมื่อไรก็ ตาม),    while  (ขณะที่)   เป็นต้น.
7.    ใช้กับเรื่องที่กระทำอย่างสม่ำเสมอ  และมีคำวิเศษณ์บอกเวลาที่สม่ำเสมอร่วมอยู่ด้วย  เช่น  always (เสมอๆ),  often   (บ่อยๆ),    every  day   (ทุกๆวัน)    เป็นต้น.
8.    ใช้ในประโยคที่คล้อยตามที่เป็น  [1.1]  ประโยคตามต้องใช้   [1.1]  ด้วยเสมอ.


[1.2]   Present  continuous  tense   เช่น   He  is  walking.  เขากำลังเดิน.
1.    ใช้ในเหตุการณ์ที่กำลังกระทำอยู่ในขณะที่พูด(ใช้  now ร่วมด้วยก็ได้ โดยใส่ไว้ต้น ประโยค, หลังกริยา หรือสุดประโยคก็ ได้).
2.    ใช้ในเหตุการณ์ที่กำลังกระทำอยู่ในระยะเวลาอันยาวนาน  เช่น  ในวันนี้ ,ในปีนี้ .
3.    ใช้กับเหตุการณ์ที่ผู้พูดมั่นใจว่าจะต้องเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้  เช่น เร็วๆนี้, พรุ่งนี้.
*หมายเหตุ   กริยาที่ทำนานไม่ได้  เช่น  รัก ,เข้าใจ, รู้, ชอบ  จะนำมาแต่งใน  Tense  นี้ไม่ได้.

            [1.3] Present perfect tense เช่น He has walk เขาได้เดินแล้ว.
1.    ใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้วในอดีต และต่อเนื่องมาจนถึง ปัจจุบัน  และจะมีคำว่า Since  (ตั้งแต่) และ for  (เป็นเวลา) มาใช้ร่วมด้วยเสมอ.
2.    ใช้กับเหตุการณ์ที่ได้เคยทำมาแล้วในอดีต (จะกี่ครั้งก็ได้ หรือจะทำอีกใน ปัจจุบัน หรือจะทำในอนาคต ก็ได้)และจะมีคำ ว่า  ever  (เคย) ,  never  (ไม่เคย) มาใช้ร่วมด้วย.
3.    ใช้กับเหตุการณ์ที่จบลงแล้วแต่ผู้พูดยังประทับใจอยู่ (ถ้าไม่ประทับใจก็ใช้   Tense
4.    ใช้กับ เหตุการที่เพิ่งจบไปแล้วไม่นาน(ไม่ได้ประทับใจอยู่) ซึ่งจะมีคำเหล่านี้มาใช้ร่วมด้วยเสมอ คือ  Just   (เพิ่งจะ), already  (เรียบร้อยแล้ว), yet  (ยัง), finally  (ในที่สุด)  เป็นต้น.



   [1.4] Present  perfect  continuous  tense    เช่น  He  has  been  walking .  เขาได้กำลังเดินแล้ว.
*  มีหลักการใช้เหมือน  [1.3]  ทุกประการ เพียงแต่ว่าเน้นว่าจะทำต่อไปในอนาคตด้วย    ซึ่ง [1.3] นั้นไม่เน้นว่าได้กระทำอย่างต่อเนื่องหรือไม่  ส่วน [1.4]  นี้เน้นว่ากระทำมาอย่างต่อเนื่องและจะกระทำต่อไปในอนาคตอีกด้วย.

             [2.1] Past  simple  tense      เช่น  He  walked.  เขาเดิน แล้ว.
1.   ใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและจบลงแล้วในอดีต   มิได้ต่อเนื่องมาถึงขณะ ที่พูด และมักมีคำต่อไปนี้มาร่วมด้วยเสมอในประโยค เช่น  Yesterday, year  เป็นต้น.
2.    ใช้กับเหตุการณ์ที่ทำเป็นประจำในอดีตที่ผ่านมาในครั้งนั้นๆ ซึ่งต้องมีคำวิเศษณ์บอกความถี่ (เช่น Always, every  day ) กับคำวิเศษณ์ บอกเวลา (เช่น  yesterday,  last  month )  2  อย่างมาร่วมอยู่ด้วยเสมอ.
3.    ใช้กับเหตุการณ์ที่ได้เคยเกิดขึ้นมาแล้วในอดีต  แต่ปัจจุบันไม่ได้เกิด อยู่ หรือไม่ได้เป็นดั่งในอดีตนั้นแล้ว  ซึ่งจะมีคำว่า  ago  นี้ร่วมอยู่ด้วย.
4.      ใช้ในประโยคที่คล้อยตามที่เป็น [2.1]  ประโยคคล้อยตามก็ต้อง เป็น [2.1]  ด้วย.

        [2.2]   Past continuous  tense   เช่น    He  was  walking .  เขากำลังเดินแล้ว
1.     ใช้กับเหตุการณ์   2   อย่างที่เกิดขึ้นไม่พร้อมกัน  { 2.2  นี้ไม่นิยมใช้ตามลำพัง - ถ้าเกิดก่อนใช้  2.2   -  ถ้าเกิดทีหลังใช้ 2.1}.
2.     ใช้กับเหตุการณ์ที่ ไดกระทำติดต่อกันตลอดเวลาที่ได้ระบุไว้ในประโยค  ซึ่งจะมีคำบอกเวลาร่วมอยู่ด้วยในประโยค  เช่น  all  day  yesterday  etc.
3.     ใช้กับเหตุการณ์  2  อย่างที่กำลังทำในเวลาเดียวกัน(ใช้เฉพาะกริยาที่ทำได้นานเท่านั้น  หากเป็นกริยาที่ทำนานไม่ได้ก็ใช้หลักข้อ 1 ) ถ้าแต่งด้วย 2.1  กับ  2.2  จะดูจืดชืดเช่น   He  was  cleaning  the  house  while  I was  cooking  breakfast.

         [2.3]   Past  perfect  tense    เช่น  He  had walk.  เขาได้เดินแล้ว.
1.    ใช้กับ เหตุการณ์  2  อย่างที่เกิดขึ้นไม่พร้อมกันในอดีต  มีหลักการใช้ดังนี้.
เกิดก่อนใช้  2.3  เกิดทีหลังใช้  2.1.
2.     ใช้กับเหตุการณ์หรือการกระทำอันเดียวก็ได้ในอดีต แต่ต้องระบุชั่วโมงและวันให้แน่ชัดไว้ในทุกประโยคด้วยทุกครั้ง  เช่น   She  had  breakfast  at  eight o’ clock  yesterday.

        [2.4]   past  perfect  continuous  tense    เช่น   He  had  been  walking.
           มีหลักการใช้เหมือนกับ  2.3  ทุกกรณี  เพียงแต่  tense  นี้  ต้องการย้ำถึงความต่อเนื่องของการกระทำที่ 1  ว่าได้กระทำต่อเนื่องไปจนถึงการกระทำที่  2  โดยมิได้หยุด  เช่น  When  we  arrive  at  the  meeting ,  the  lecturer  had  been  speaking  for  an  hour  .   เมื่อพวกเราไปถึงที่ ประชุม  ผู้บรรยายได้พูดมาแล้ว เป็นเวลา 1  ชั่วโมง.



  [3.1]   Future  simple  tense      เช่น   He  will  walk.    เขาจะเดิน.
              ใช้กับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต  ซึ่งจะมีคำว่า  tomorrow,  to  night,  next  week,  next  month   เป็นต้น  มาร่วมอยู่ด้วย.
           * Shall   ใช้กับ     I    we.
             Will    ใช้กับบุรุษที่  2  และนามทั่วๆไป.
             Will,  shall  จะใช้สลับกันในกรณีที่จะให้คำมั่นสัญญา, ข่มขู่บังคับ, ตกลงใจแน่วแน่.
             Will,  shall   ใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติหรือจงใจก็ได้.
             Be  going  to  (จะ)  ใช้กับความจงใจของมนุษย์ เท่านั้น  ห้ามใช้กับเหตุการณ์ของธรรมชาติและนิยมใช้ใน ประโยคเงื่อนไข.

       [3.2]    Future   continuous    tense    เช่น   He  will  be  walking.    เขากำลังจะ เดิน.
1.     ใช้ในการบอกกล่าวว่าในอนาคตนั้นกำลังทำอะไรอยู่ (ต้องกำหนดเวลาแน่นอน ด้วยเสมอ).
2.     ใช้กับเหตุการณ์  2  อย่างที่จะเกิดขึ้นไม่พร้อมกันในอนาคต  มีกลักการใช้ดังนี้.
               -   เกิดก่อนใช้    3.2      S  +  will  be,  shall  be  +  Verb 1  ing.
                -  เกิดทีหลังใช้   1.1     S  +  Verb  1 .


        [3.3]   Future   prefect  tens    เช่น  He  will  walked.  เขาจะได้เดินแล้ว.
1.  ใช้กับเหตุการณ์ที่จะ เกิดขึ้นหรือสำเร็จลงในเวลาใดเวลาหนึ่งในอนาคต  โดยจะมีคำว่า  by  นำหน้ากลุ่มคำที่บอกเวลา ด้วย  เช่น   by  tomorrow  ,   by  next  week   เป็น ต้น.
2.  ใช้กับเหตุการณ์  2  อย่างที่จะเกิดขึ้นไม่พร้อมกันในอนาคต มีหลักดังนี้.
              -      เกิดก่อนใช้   3.3      S  +  will, shall  +  have  +  Verb 3.
-         เกิด ที่หลังใช้   1.1    S  +  Verb 1 .

        [3.4]  Future  prefect  continuous  tense เช่น He  will  have  been  walking. เขาจะได้กำลัง เดินแล้ว.
          ใช้เหมือน  3.3  ต่างกันเพียงแต่ว่า  3.4  นี้เน้นถึงการกระทำที่  1  ได้ทำต่อเนื่องมาจนถึงการกระทำที่  2  และจะกระทำต่อไปในอนาคต อีกด้วย.
           *   Tense  นี้ไม่ค่อยนิยมใช้บ่อย นัก  โดยเฉพาะกริยาที่ทำนาน ไม่ได้ อย่านำมาแต่งใน  Tense  นี้เด็ดขาด.

ที่มา: http://marujo2524.igetweb.com/?mo=3&art=570356

วันพฤหัสบดีที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

adverbs




Adverb (คำกริยาวิเศษณ์)
คำกริยาวิเศษณ์ คือ คำที่ใช้ขยาย (Modify) คำกริยา, คำคุณศัพท์ และคำกริยาวิเศษณ์ด้วยกันเอง เพื่อให้ได้ความหมายชัดเจนยิ่งขึ้น เช่น
                -  He runs quickly. = quickly บอกอาการของประธาน He ขยายคำกริยาคือ runs
                -  She is very beautiful. = very บอกปริมาณหรือระดับขยายคำคุณศัพท์คือ beautiful
                -  He speaks too fast. = too บอกปริมาณหรือระดับขยายคำกริยาวิเศษณ์คือ fast
ประเภทของคำกริยาวิเศษณ์ (Kinds of Adverb)
โดยปกติแล้วคำกริยาวิเศษณ์ แบ่งออกได้ 3 ประเภทใหญ่ ๆ คือ
1. Simple Adverbs = คำกริยาวิเศษณ์ทั่วไป
2. Interrogative Adverbs = คำกริยาวิเศษณ์คำถาม
3. Relative(Conjunction) Adverbs = คำกริยาวิเศษณ์เชื่อมประโยค
คำกริยาวิเศษณ์ส่วนมากจัดอยู่ในประเภท simple adverbs ส่วนประเภท interrogative, relative adverbs นั้นมีไม่มาก มีรายละเอียดดังนี้
1. Simple Adverb คือ คำกริยาวิเศษณ์ที่มีหน้าที่ขยายคำกริยา, คำคุณศัพท์และกริยาวิเศษณ์ด้วยกันเอง แบ่งออกได้ดังนี้
1. Adverb of time คือ คำกริยาวิเศษณ์ที่บอกเกี่ยวกับเวลา ทำหน้าที่ขยายคำกริยาเพื่อบอกเกี่ยวกับเวลา ใช้ตอบคำถามคำว่า
"When" เช่น
             - I will do my homework tomorrow. = ฉันจะทำการบ้านของฉันวันพรุ่งนี้
             - He came very late. Let's start now. = เขามาช้ามาก, เราเริ่มทำงานตอนนี้เลยดีกว่า
Adverb of Time ที่ใช้บ่อย ๆ ได้แก่
                often, afterward = ภายหลัง                    already = เรียบร้อย
                before = ก่อน                                       immediately = ทันที
                late, lately = ช้า, เร็ว ๆ นี้                        once = ครั้งหนึ่ง
                presently = ในเร็ว ๆ นี้(ในอนาคต)                shortly = ไม่นาน
                soon = ในไม่ช้านี้                                   still = ยัง
                when = เมื่อ                                          yet = ยัง
2. Adverb of Frequency คือ คำกริยาวิเศษณ์ที่บอกความสม่ำเสมอ, ความถี่หรือจำนวนครั้งของการกระทำ ได้แก่ often, again, sometimes, never, ever, weekly, every morning, monthly, etc. จำใช้ตอบคำถามคำว่า How often? เช่น
           -  He always does his work well. = เขาผู้ชายทำงานได้ดีเสมอ
           -  We have never seen now. = พวกเราไม่เคยเห็นหิมะเลย
           -  I sometimes go shopping. = ฉันไปจับจ่ายซื้อของเป็นบางครั้งบางคราว
หมายเหตุ คำว่า ever (เคย) ไม่นิยมใช้ในประโยคบอกเล่า มักใช้ในประโยคคำถามหรือเงื่อนไข (If-Sentence) เช่น
- Do you ever see Bush now? = คุณเคยพบกับคุณบุชบ้างหรือเปล่า?
3. Adverb of Place คือ คำกริยาวิเศษณ์บอกสถานที่ว่าการกระทำนั้นเกิดขึ้นที่ใด ได้แก่คำว่า near, out, inside, outside, upstairs, downstairs, here, etc. ใช้ตอบคำถามคำว่า "Where" เช่น
            - My boss went outsideBangkok. = เจ้านายของฉันได้ออกจากกรุงเทพฯ แล้วจ้า
            - He lives here. I want to go there. = เขาอาศัยอยู่ที่นี่ , ฉันต้องการจะไปที่นั่น
3. Adverb of Manner คือ คำกริยาวิเศษณ์ที่บอกกริยาอาการหรือคุณลักษณะที่แสดงออกมา ได้แก่คำว่า well, fast,
hard, late, probably, slowly, certainly, quietly, carefully, etc. โดยใช้ตอบคำถามว่า "How" เช่น
            - Somrak fights bravely. = สมรักษ์ต่อสู้อย่างกล้าหาญ
             - She speaks English well. = เขาผู้หญิงพูดภาษาอังกฤษเก่งมาก ๆ
คำกริยาบอกกริยาอาการ (Adverb of Manner) ยังแบ่งย่อยออกได้อีก ดังนี้
     1. Adverb of Degree, Quality คือ คำกริยาวิเศษณ์ที่บอกลักษณะอาการนั้นอยู่ในระดับหรือคุณภาพใด เช่น
             - This coffee is very good. = กาแฟนี้รสชาดดีมาก (very เป็น adverb ขยายคำคุณศัพท์คือ good
เพื่อบอกระดับของ good
             - It has been a long journey but we are nearly there now. = มันเป็นการเดินทางที่ยาวนานทีเดียว
แต่ตอนนี้พวกเราใกล้จะถึงที่หมายแล้ว (nearly เป็น adverb ที่ขยาย adverb คำว่า there)
Adverb of Degree ที่ใช้บ่อย ๆ ได้แก่
            very = มาก ๆ, อย่างยิ่ง                                                              quite = โดยสมบูรณ์, ทีเดียว, จริง ๆ
           too = เพิ่มเติม, ด้วยเหมือนกัน                                                   nearly = เกือบทั้งหมด, ประมาณ
           completely = สำเร็จ, ครบ, สมบูรณ์                                     absolutely = ทั้งหมด, โดยสมบูรณ์
          deeply = อย่างมาก, อย่างลึกซึ้ง                                    distinctly = ชัดเจน, แจ่มแจ้ง
          enormous = ใหญ่โต                                                entirely = สมบูรณ์, ทั้งสิ้น
          greatly = อย่างยิ่งใหญ่                                                            equally = เท่ากัน, เสมอกัน
          exactly = อย่างแน่นอน, อย่างแน่ชัด                                      extremely = อย่างสุดยอด
          just = อย่างเหมาะ, พอดี                                             much = มาก
     2. Adverb of Quantity คือ คำกริยาวิเศษณ์ที่บอกปริมาณของการกระทำว่ามากน้อยหรือบ่อยแค่ไหน เช่น
                -  He worked little. = เขาทำงานไม่มาก
                -  She worked much = หล่อนทำงานหนัก
                - We won the prize twice = พวกเราได้รับรางวัลสองครั้ง
      3. Adverb of Reason คือ คำกริยาวิเศษณ์ที่บอกถึงเหตุผลในการกระทำนั้น ๆ เช่น
                - Consequently, he refused to go. = เพราะฉะนั้นเขาจึงได้ปฏิเสธที่จะไปด้วย
                - Therefore, they decided to boycott the meeting. = เพราะฉะนั้นพวกเขาจึุงตัดสินใจไม่เข้าร่วมประชุม
                - Hence, I am unable to help you. = ดังนั้น ผมจึงไม่สามารถช่วยคุณได้
     4. Adverb of Affirmation คือ คำกริยาวิเศษณ์ที่แสดงการยืนยันหรือการปฏิเสธ เช่น
                - She is certainly right. I am not going. = หล่อนพูดถูกจริงๆ ผมจะไม่ไป
                - He is a fool indeed. = เขาช่างเป็นคนโง่จริง ๆ
                - You are surely misunderstood. I will probably go. = คุณเข้าใจผิดอย่างแน่นอน บางทีผมจะไป
2. Interrogative Adverb คือ คำกริยาวิเศษณ์ที่มีหน้าทำหน้าที่เป็นคำถาม ซึ่งอาจเป็นคำเดี่ยว ๆ หรือเป็นคำผสม มักจะวางไว้
ต้นประโยคเสมอ แบ่งออกได้ 6 ประเภท คือ
         1. บอกเวลา (Time) ได้แก่คำว่า "When" (เมื่อไหร่), "How long" (นานเท่าไหร่) เช่น
                    -  When will you come back? = คุณจะกลับมาเมื่อไหร่?
                    -   How long have you been in Bangkok? = คุณมาอยู่ที่กรุงเทพฯ นานเท่าไหร่แล้วจ๊ะ
         2. บอกสถานที่,ตำแหน่ง (Place) ได้แก่คำว่า "Where" เช่น
                    -  Where are you come from? = คุณมาจากไหน?
         3. บอกจำนวน (Number) ได้แก่คำว่า How many (มากเท่าไหร่), How often (บ่อยครั้งเท่าไหร่) เช่น
                    -   How many pens do you have? = คุณมีปากกามากเท่าไหร่?
                    -   How often does he go to America? = เขาเดินทางไปอเมริกาบ่อยแค่ไหน?
         4. บอกกริยาอาการ (Manner) ได้แก่ คำว่า How (อย่างไร) เช่น
                   -  How are you today? = วันนี้คุณสบายดีหรือเปล่า?
        5. บอกปริมาณ (Quantity) ได้แก่ คำว่า How much (มากเท่าไหร่) เช่น
                   -  How much do you eat? = คุณรับประทานมากเท่าไหร่?
        6. บอกเหตุผล (Reason) ได้แก่ คำว่า Why (ทำไม) เช่น
                   -  Why do you late? = ทำไมคุณถึงมาสายจ๊ะ?
 3. Relative, Conjunction Adverbs คือ คำกริยาวิเศษณ์ที่มีหน้าที่ขยายและเชื่อมประโยคเข้าด้วยกัน ได้แก่ คำว่า When, Where, While, Whenever, How, etc. เช่น
                  -  This is the reason why I left. = นี้คือเหตุผลที่ว่าทำไมฉันจึงต้องไป
                  -  I don't know the place where he lives? = ฉันไม่ทราบว่าเขาอาศัยอยู่ที่ไหน?
การเปรียบเทียบคำกริยาวิเศษณ์ (Comparison of Adverbs)
        การเปรียบเทียบคำกริยาวิเศษณ์เพื่อแสดงให้ทราบว่าลักษณะอาการกริยาของบุคคลนั้นกับอีกบุคคลหนึ่งมีมากน้อยกว่ากันหรือไม่
การเปรียบเทียบแบ่งออกได้ 3 ขั้น คือ ขั้นปกติ (Positive Degree), ขั้นกว่า(ComparativeDegree), ขั้นสูงสุด (Superlative Degree) เช่น
               1. ขั้นปกติ (Positive Degree) เป็นการเปรียบเทียบเพื่อแสดงความเท่าเทียมกันใช้ as adv as เช่น
                        -  He speaks English as well as Helen. = เขาพูดภาษาอังกฤษเก่งเท่ากับเฮเลน
                        -  She runs as fast as I do. = หล่อนวิ่งเร็วพอ ๆ กับที่ฉัน
การเปรียบเทียบความไม่เท่ากันใช้ not as adv as หรือ not so adv as เช่น
                       -  Tom does not work as fast as Jenny. = ทอมไม่ได้ทำงานหนักเหมือนกับเจนนี่สักหน่อย
                       - He does not speak English so clearly as I (do). = เขาพูดภาษาอังกฤษได้ไม่ชัดเจนเหมือนกับฉันเลย
               2. ขั้นกว่า (Comparative Degree) เป็นการเปรียบเทียบเฉพาะ 2 คน หรือ 2 สิ่ง จะต้องมี than ตามหลังเสมอ เช่น
                       -  He speaks English more fluently than his friends.
                       -  Mary runs faster than Jane.
การเปรียบเทียบขั้นกว่านี้ อาจใช้ much ขยาย adverb ให้ชัดเจนเพิ่มขึ้นก็ได้ เช่น
                       -  My teacher wrote essay much more quickly than students.
               3. ขั้นสูงสุด (Superlative Degree) เป็นการเปรียบเทียบตั้งแต่ 3 คนหรือ 3 สิ่งขึ้นไป จะใช้ the นำหน้า adverb หรืออาจจะไม่ใช้ the นำหน้าก็ได้ เช่น
                          -  He runs fastest of all.
รูปของคำกริยาวิเศษณ์ (Forms of Adverbs)
               1. เติม -ly ข้างท้ายคำคุณศัพท์ (adjective) เช่น
                        -  slow   =   slowly
                        -  quick  =   quickly
หมายเหตุ กลุ่มคำต่อไปนี้ถึงแม้ว่าจะเติม -ly แต่เป็นคำคุณศัพท์ (adjective) คือ friendly, lonely, lovely, likely เป็นต้น
               2.  คำ adjectives ที่ลงท้ายด้วย -y ให้เปลี่ยน y เป็น i แล้วเติม -ly เช่น
                        -  easy = easily                         -  happy = happily
                        -  angry = angrily                     -  hungry = hungrily
                        -  day = daily                            -  noisy = noisily
                3. คำ adjective ที่ลงท้ายด้วย -e ให้เติม -ly เช่น
                        -  extreme = extremely              -  sincere = sincerely
ยกเว้น คำดังต่อไปนี้ให้ตัด -e ออกแล้วเติม -ly เช่น
                        -  true = truly
               4.  คำ adjectives ที่ลงท้ายด้วย -le ให้ตัด e ออกแล้วเติม -y เช่น
                        -  sensible = sensibly                  - simple  =  simply
               5. คำ adjectives บางคำเมื่อเป็น adverbs จะเปลี่ยนรูปไป เช่น
                        -  good - well
               6. คำ adjectives ที่ลงท้ายด้วย -ic ให้เติม -ally เช่น กลับด้านหลัก
                       -  ironic = ironically                    -  terrific = terrifically กลับด้านบน

 http://www.trueplookpanya.com/new/cms_detail/knowledge/18557-00/


วันอาทิตย์ที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

noune



Nouns


         คำนาม (nouns) เป็นคำที่ใช้เรียกชื่อของสิ่งต่าง ๆ อาทิชื่อบุคคล สถานที่ สิ่งต่าง ๆ แนวคิด หรือคุณภาพเช่น Somsak, Doi Sutep, Bangkok, table, freedom, goodness ฯลฯ
         คำนามอาจแบ่งเป็นชนิดต่าง ๆ ตามลักษณะสำคัญได้ 3 แบบ คือ

1. นามที่แบ่งโดยคำนึงถึงความหมาย   นามลักษณะนี้จำแนกได้ 2 ชนิดใหญ่ ๆ คือ
1.1Proper nouns (นามจำเพาะเจาะจง) เป็นนามที่ใช้เรียกชื่อเฉพาะของบุคคล สถานที่หรือสิ่งต่าง ๆ ข้อสังเกตคือ นามชนิดนี้ขึ้นต้นด้วยอักษรใหญ่ เช่น Pichet, Rincome Hotel, China, Asia, Songkran Day
1.2Common nouns (นามทั่วไป) เป็นนามที่มิได้เจาะจงถึงบุคคล สถานที่หรือกล่าวง่าย ๆ   คือเป็นนามที่ใช้เรียกชื่อบุคคล สถานที่ หรือสิ่งของโดยทั่ว ๆ ไป เช่น man, city, doctor ฯลฯ
นามชนิดนี้สามารถจำแนกแยกย่อยได้ 3 ชนิดคือ

1.2.1Concrete nouns (นามรูปธรรม) เป็นนามที่ใช้เรียกชื่อสิ่งต่าง ๆ ที่สามารถเห็นได้ ได้ยิน ได้กลิ่น สัมผัสหรือลิ้มรสได้ เช่น apple, candle, table, radio ฯลฯ
1.2.2Mass nouns (นามมวล) แยกกล่าวได้ 3 กลุ่มใหญ่ คือ
(1)นามมวลที่นับไม่ได้ ไร้รูปร่างเช่น love, happiness ฯลฯ
(2)นามมวลที่ใช้เรียกชื่อวัตถุ อาหาร วิชา เกมส์กีฬา ต่าง ๆ เช่น meat, sugar, biology, swimming ฯลฯ
(3)นามมวลที่นับไม่ได้ตลอด เช่น advice, research, luggage, information, equipment, behavior, scenery, commerce, money ฯลฯ
1.2.3collective nouns (นามกลุ่มก้อน) เป็นนามที่แสดงกลุ่มก้อนสิ่งต่าง ๆ อาทิ เช่น คน สัตว์ สิ่งของ เช่น family, team, crowd, group ฯลฯ
2. นามที่แบ่งโดยคำนึงถึงรูป   นามแบบนี้ก็คือนามผสม (compound nouns) ซึ่งเกิดจากการนำเอาคำตั้งแต่ 2 คำขึ้นไปมารวมกัน ได้แก่ นามที่เกิดจากการรวมตัวกันของ
2.1Noun + Noun เช่น bushman (คนป่า) caveman (มนุษย์ถ้ำ) engineeroom (ห้องเครื่อง)
2.2Adjective + Noun เช่น bluebottle (แมลงวันหัวเขียว)
2.3Verb + Noun เช่น sailfish (ปลากระโดง) pickpocket (ขโมย)
2.4Gerund + Noun เช่น floating market (ตลาดน้ำ) sleeping car (รถนอน)
2.5Noun + Gerund เช่น cloud-kissing (สูงเทียมเมฆ) board meeting (การประชุมกรรมการ)
2.6Preposition + Noun เช่น downstream (ล่องลงตามน้ำ) by-election (การเลือกตั้งซ่อม)
2.7Verb + Preposition เช่น breakthrough (การฟันฝ่าอุปสรรค) catchup (น้ำซอสชนิดคั้น)
2.8Noun + Preposition phrase เช่น son - in - law (ลูกเขย) daughter-in-law (ลูกสะใภ้)
3. นามที่แบ่งโดยคำนึงถึงหน้าที่ ลักษณะนี้ จำแนกได้ 2 ชนิดใหญ่ ๆ คือ
3.1Countable nouns (นามนับได้) สามารถนับได้เป็นชิ้น เป็นอัน เป็นตัว ฯลฯ มีได้ทั้งเอกพจน์และพหูพจน์ เช่น city, table, cars ฯลฯ
3.2Uncountable nouns (นามนับไม่ได้) เป็นนามที่ไม่สามารถนับได้เป็นชิ้นเป็นอัน เป็นตัวได้แก่
(1) นามที่เป็นชื่อก๊าซ เช่น Oxygen, carbon dioxide
(2) นามที่เป็นชื่อของเหลว เช่น water, ink ,oil
(3) นามที่เป็นชื่ออณูเล็กมาก เช่น dust, rice, sand
(4) นามที่เป็นชื่อสาขาวิชา เช่น geology, biology, economics
(5) นามที่เป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติ เช่น sunshine, darkness
(6) นามที่เป็นชื่อแนวคิด อุดมคติ เช่น damage, love ,freedom
รวมสรุปแล้ว นามนับไม่ได้ มักจะเป็นนาม นามธรรม (abstract nouns) และนามมวล (mass nouns) นั่นเอง
ลักษณะพิเศษของนาม          คำนามมีลักษณะพิเศษอยู่ 2 ประการคือ การเปลี่ยนนามนับได้จากรูปเอกพจน์เป็นพหูพจน์ และการสร้างนามให้อยู่ในรูปแสดงเจ้าของ ดังนี้

1. นามนับได้เอกพจน์-พหูพจน์ การเปลี่ยนนามนับได้จากรูปเอกพจน์เป็นพหูพจน์ มีหลักเกณฑ์ดังนี้
1.1เติม s ท้ายนามเอกพจน์ เช่น book - books, pen - pens, car - cars
1.2เติม es ท้ายนามเอกพจน์ที่ลงท้ายด้วย s, x, z, ch, และ sh เช่น bus-buses, watch-watches, box-boxes
1.3นามเอกพจน์ลงท้ายด้วย y การเปลี่ยนเป็นรูปพหูพจน์ขึ้นอยู่กับกฎเกณฑ์ 2 ประการคือ
ก.หน้า y เป็นพยัญชนะ เปลี่ยน y เป็น i และเติม es เช่น company-companiesม, city-cities, lady-ladies
ข.หน้า y เป็นสระ a, e, i, o, u คง y ไว้แล้วเติม s เช่น day-days, key-keys, way-ways
1.4นามเอกพจน์ลงท้ายด้วย o การเปลี่ยนเป็นรูปพหูพจน์ขึ้นอยู่กับกฎเกณฑ์สองประการคือ
ก.หน้า o เป็นพยัญชนะเติม es เช่น potato-potatoes, mango-mangoes, 
ยกเว้น ถ้าเป็นนามเกี่ยวกับเครื่องดนตรี หรือการดนตรี หรือคำยกเว้นบางคำ เติม s เช่น
piano-pianos, dynamo-dynamos, memo-memos, kilo-kilos, photo-photos
ข.หน้า o เป็นสระ เติม s เช่น radio-radios, studio-studios, zoo-zoos, cuckoo-cuckoos, bamboo-bamboos, kangaroo-kangaroos
1.5เปลี่ยนนามเอกพจน์ลงท้ายด้วย f หรือ fe เป็น v แล้วเติม es เช่น half-halves, wife-wives, 
life-lives, calf-calves
    ยกเว้น นามบางคำเติม s โดยไม่มีการเปลี่ยน f หรือ fe แต่อย่างใด เช่น safe-safes, 
proof-proofs, chief-chiefs, brief-briefs
1.6นามเอกพจน์บางคำเวลาเป็นพหูพจน์เปลี่ยนรูป ต้องจำ เช่น goose-geese, tooth-teeth, 
foot-feet, man-men, woman-women, child-children, mouse-mice, ox-oxen
1.7นามบางคำมีรูปเหมือนกันทั้งเอกพจน์และพหูพจน์ เช่น deer-deer, sheep-sheep, 
species-species, series-series, trout-trout, means-means
1.8นามบางตัวมีเพียงรูปเดียวคือ เอกพจน์ แม้ว่าจะเติม s เช่น news, statistics, mathematics, politics, mumps (คางทูม), ethics, economics, physics
1.9นามต่อไปนี้เป็นพหูพจน์ตลอด เช่น glasses (แว่นตา) , tweezers (คีมเล็ก) ,tidings(ข่าวคราว) shorts (กางเกงขาสั้น), scissors(กรรไกร), saving(เงินออม), arms(อาวุธ), whiskers 
(หนวดเครา)
1.10นามที่มาจากภาษาต่างประเทศ เช่น ละติน กรีก มีรูปพหูพจน์ต่างไปจากเดิม เช่น crisis-crises (วิกฤติการณ์) criterion-criteria (เกณฑ์), parenthesis-parentheses (วงเล็บ) 
medium-media (เครื่องมือ), datum-data (ข้อมูล) stimulus-stimuli (สิ่งเร้า), 
analysis-analyses (การวิเคราะห์)
2. นามแสดงเจ้าของ การสร้างคำนามให้อยู่ในรูปของการแสดงความเป็นเจ้าของ มีหลักเกณฑ์คือ
2.1นามเอกพจน์
สามารถทำให้เป็นรูปแสดงการเป็นเจ้าของด้วยการเติม s ท้ายนาม Sunee's car, ous nations's flag, Nipon's books.
2.2นามพหูพจน์
นามพหูพจน์ที่ลงท้ายด้วย s หรือ es ทำเป็นรูปแสดงเจ้าของโดยการเติม ' ท้ายนาม เช่น ladies' coats, girls' bicycles, soldiers' guns แต่หากนามพหูพจน์มิได้ลงท้ายด้วย s หรือ es ให้เติม 's เมื่อแสดงเจ้าของเช่น children's parents, women's dresses, men's jeans
2.3นามผสม
ให้เติม 's ท้ายคำนามนั้น เช่น son-in-law's, books, daughter-in-law's house
2.4เจ้าของร่วม
ในกรณีมีนามมากกว่า 1 คำ เมื่อนามแต่ละตัวนั้นแสดงความเป็นเจ้าของร่วมให้เติมนามตัวสุดท้าย เช่น Sunee and Nipon's car, Pim and Cha's motorcle
2.5เจ้าของร่วม
หากแสดงความเป็นเจ้าของแยกกัน ต่างคนต่างมีส่วนเป็นเจ้าของในสิ่งนั้น หรือแต่ละคนก็มีสิ่งนั้น ให้เติม 's ท้ายนามแต่ละตัว เช่น Pim's and Cha's motorcycles, Sunee's and Nipon's car


ที่มา :http://allcadet.com/34/234-%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%A9
%E0%B8%B2%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%81%E0
%B8%A4%E0%B8%A9_%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0
%B8%AD%E0%B8%87_Noun/

วันอังคารที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

root,prefix,suffix

After downloading the file, I just want you to choose  20 words from reading and try to break out the words as the example.


No.
Word
Root
Prefix
Suffix
1
Electricity
electric

ity
2
equipment
equip

ment
3
relationship
relation

ship
4
additionally
addition
al
ly
5
abnormalities
normal
ab
ities
6
generally
general

ly
7
Permissible
permission

ible
8
Concentrating
concentrate

ing
9
generating
generat

ing
10
implications
implicate

ion(s)
11
farming
friend

ly
12
pumping
pump

ing
13
Measurement
measure

ment
14
opportunities
opportunity

es
15
rebuilding
build
re-
ing
16
extremely
extreme

ly
17
environmentally
environ

ment
18
financially
finance

ial
19
trimonthly
month
Tri-
ly
20
driving
drive
dri-
ing